ต้องบอกเลยว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน “ชา” ก็ยังเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในโซนยุโรปและเอเชีย แถมยังหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านสะดวกซื้อรวมไปถึงเป็นเมนูยอดฮิตในหมวด Non-coffee ของที่คาเฟ่อีกด้วย แต่เรารู้กันหรือไม่ว่าประเภทของชาที่เราดื่มกันอยู่ทุกวันนี้มีอะไรบ้าง ? มีต้นกำเนิดมาจากไหน ? Gaysorn Village จะพาทุกคนไปรู้จักกับที่มาของชา และประเภทชาอย่างลึกซึ้งกัน
ชา คือะไร ต้นกำเนิดมาจากไหน?
หากพูดกันอย่างทั่วไปชาที่ทุกคนเข้าใจนั้นเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลคาเมลเลีย (Camellia) ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีนถูกเก็บเฉพาะส่วนของยอดอ่อนหรือต้นอ่อนของใบชานำมาแปรรูปด้วยวิธีการตากแห้งนั้นเอง
แต่แท้ที่จริงแล้วชามีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า 6,000 ปี โดยมีต้นกำเนิดที่แตกต่างกันไป เริ่มต้นกันที่ประเทศจีนในยุค “ราชวงศ์ฮั่น” เพราะชานั้นถือเป็นพืชที่สามารถหาได้ตามทั่วไปในสมัยนั้นชาวบ้านจึงมักนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือนำมาใช้ในการรักษา แต่หลักฐานที่ทำให้เราแน่ใจได้ว่าชามีประวัติมาอย่างยาวนานนั้นก็คือ “คัมภีชา”(茶经,The Classic of Tea) ในยุคราชวงศ์ถังที่ถูกรวบรวมข้อมูลและประพันธ์โดย ลู่อวี่(陆羽,Lù Yǔ) โดยคัมภีนี้ถือเป็นแม่บทและการรวบรวมจุดเริ่มต้นของชาจีนนั้นเอง
ต่อมาวัฒนธรรมการดื่มชาถูกส่งต่อไปยังประเทศญี่ปุ่นโดยเริ่มต้นด้วย “เมียว เอไซ” (明菴栄西) หรือพระเอไซ พระสงฆ์ชาวญี่ปุ่น ได้เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ภูเขาเทียนไท มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และเมื่อเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่นก็ได้นำเมล็ดพันธุ์ของต้นชากลับมาด้วย จึงเริ่มการเพาะปลูกเป็นที่แรกในเกาะคิวชู พร้อมทั้งมีการบันทึก “เรื่องชาเพื่อสุขภาพ” หรือ “คิสสะ โยโจะกิ” (Kissa Yojoki, 喫茶養生記) ที่มีการอธิบายถึงประโยชน์ของชา และวัฒนธรรมการดื่มชานี้ได้เริ่มถูกส่งต่อไปยังประเทศโซนยุโรปในลำดับถัดมานั้นเอง
5 ประโยชน์จากการดื่มชาที่คุณควรรู้
ชาไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มที่ให้ความเพลิดเพลินด้วยเสน่ห์เฉพาะตัวแต่ยังมีความหอมอ่อนๆที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทของชา และยังมีคุณประโยชน์ที่ซ่อนไว้ วันนี้เราขอ 5 ประโยชน์จากการดื่มชาที่คุณควรรู้
-
ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
ชามีสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ที่ช่วยลดการอักเสบและชะลอการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระ -
ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน
ด้วยคุณสมบัติที่ไม่มีแคลอรี่ ชาช่วยควบคุมน้ำหนัก และคาเฟอีนในชาอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี -
เพิ่มสมาธิและลดความเครียด
สารแอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ในชาช่วยเพิ่มสมาธิ ลดความเครียด และทำให้รู้สึกผ่อนคลายโดยไม่ง่วง -
ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
ชาช่วยลดคอเลสเตอรอลและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด โดยเฉพาะชาอู่หลงที่มีประโยชน์โดดเด่นในด้านนี้ -
ช่วยระบบย่อยอาหารและลำไส้
โพลีฟีนอลในชามีส่วนช่วยย่อยและดูดซึมไขมันและคาร์โบไฮเดรต ทั้งยังเพิ่มการเผาผลาญ
นี่เป็นเพียงประโยชน์โดยย่อยที่เรายกมาให้เป็นตัวอย่างเท่านั้น ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่ทำให้การดื่มชาของเราได้ประโยชน์สูงสุด จึงไม่แปลกใจที่ชายังคงเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและได้รับความนิยมมาจนถึงในปัจจุบัน
ประเภทของชาทั้ง 9 ชนิด ประโยชน์ และการดื่ม
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ถึงประวัติอันยาวนานที่มีความเป็นมามากกว่า 6,000 ปี ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ทั้งยังมีประโยชน์ช่วยในเรื่องของสุขภาพและเสริมสร้างสมาธิ
เรามาต่อกันที่ประเภทของชาและประโยชน์ในแต่ละชนิดกันบ้างว่ามีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร ? เพราะนอกจากกลิ่นรสที่เราจะได้รับจากการดื่มด่ำนั้นยังมีเรื่องของการเลือกชาให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเรา ที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้อีกด้วย
1. ชาเขียว (Green Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาเขียว
เป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการออกซิได (Unoxidized) โดยจะถูกนำไปผ่านความร้อนทันที ทำให้เมื่อชงแล้วจะได้สีเขียวหรือเหลืองอมเขียวคงสีสดใหม่ และมีรสชาติฝาดอ่อนๆ ไม่ค่อยขมทั้งยังมีกลิ่นหอม
ประโยชน์ของชาเขียว
ตัวชาเขียวนั้นมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ทั้งยังมีส่วนช่วยยับยั้งสารที่เป็นต้นตอของการเกิดมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
ควรดื่มเวลาไหน
ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแต่ละคนที่ช่วงเวลาที่แนะนำคือเป็นช่วงเช้าหรือช่วงกลางวัน เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมอง หรือช่วยในการย่อยอาหาร ควรดื่มก่อนรับประทานอาหาร 30 นาที
2. ชาดำ (Black Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาดำ
จะเป็นใบชาที่ถูกทิ้งให้สลดนำไปหมัก และนำไปตากเพื่อลดความชื้น หรืออาจมีการนำไปคั่วให้เกิดการ Oxidized ทำให้ชามีสีดำ หรืออกไปทางน้ำตาลแดงมีรสชาติขมเข้มถึงใจ กลมกล่อมชุ่มคอ ทั้งยังมีคาเฟอีนสูงกว่าชาชนิดอื่นๆ
ประโยชน์ของชาดำ
ชาดำมีส่วนช่วยในการย่อยอาหารทั้งยังช่วยเร่งการเผาผลาญได้ดี และยับยั้งแบคทีเรียในช่องปาก
ควรดื่มเวลาไหน
ควรดื่มช่วงเวลาหลังอาหารกลางวัน 2-3 ชั่วโมง เพื่อกระตุ้นการย่อยอาหารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ควรดื่มในช่วงเวลาก่อนนอนเพราะอาจทำให้คุณนอนไม่หลับก็เป็นได้
3. ชามัทฉะ (Matcha)
ลักษณะและรสชาติของชามัทฉะ
มัทฉะนั้นจะมีความเข้มและขมมากกว่าชาเขียวโดยมัทฉะ จะถูกปลูกด้วยวิธีเฉพาะทั้งยังต้องผ่านการเก็บเกี่ยวแบบพิเศษ ก่อนนำมาบดเป็นผงชา จึงทำให้มีความข้นและให้รสที่หวานกว่าชาเขียวปกติ
ประโยชน์ของชามัทฉะ
เพราะมัทฉะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง “คาเทชิน (catechins)” มีส่วนช่วยลดความเสียหายของเซลล์ทั้งยังมีการลดความเสี่ยงในโรคอื่นๆได้อีกด้วย
ควรดื่มเวลาไหน
หากดื่มก่อนออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้กับระบบร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น
4. ชาขาว (White Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาขาว
เป็นชาที่ผลิตจากยอดอ่อนที่ออกดอกเป็นดอกสี นำมาผ่านการตากแห้ง จึงทำให้เมื่อชงแล้วชาจะมีสีเหลืองอ่อน ทำให้ชามีรสหวานอ่อนๆ ไม่เปรี้ยว และไม่ขม เหมือนกลิ่นดอกไม้
ประโยชน์ของชาขาว
นอกจากประโยชน์ที่ช่วยเรื่องความเครียด ลดการเกิดโรคอัลไซเมอร์แล้วยังมีประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง ทำให้เซลล์ผิวหนังมีความยืดยุ่นได้ดี
ควรดื่มเวลาไหน
เพราะชาขาวเป็นชาไม่มีคาเฟอีนจึงสามารถดื่มได้ทุกเวลา แต่หากดื่มในช่วงเวลาที่แตกต่างกันจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกันเช่น หากดื่มก่อนอาหารจะช่วยลดความอยากอาหารและเผาผลาญได้ดี
5. ชาอู่หลง (Oolong Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาอู่หลง
ตัวใบช้าจะมีลักษณะสีเหลือง หรือสีน้ำตาลเพราะเป็นชาที่ผ่านการหมักบางส่วนจนเกิดการ Oxidized ทำให้รสชาติของชาอู่หลงอาจมีความขมเล็กน้อย มีกลิ่นมากกว่าชาเขียว
ประโยชน์ของชาอู่หลง
เพราะชาอู่หลงนั้นผ่านการหมักมาบางส่วนจนทำให้เกิดสารกลุ่มโพลีฟีนอลที่เป็นส่วนช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ
ควรดื่มเวลาไหน
ผลลัพธ์การดื่มชาอู่หลงจะแตกต่างกันไป หากดื่มในช่วงเช้าจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า แต่หากดื่มในช่วงบ่ายจะช่วยกระตุ้นสมอง แก้ง่วงได้ดี
6. ชาแดง (Red Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาแดง
ชาแดงหรือที่เรียกกันว่า Rooibos เป็นชาที่ไม่มีคาเฟอีน หรือที่ชาวจีนมักเรียกว่า 红茶 (Hong Cha) ซึ่งมีหลากหลายลักษณะและมีสีแดงไปจนถึงเข้มตามลำดับ ขึ้นอยู่กับการหมัก
ประโยชน์ของชาแดง
ชาแดงมีส่วนช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดการอักเสบทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกด้วย
ควรดื่มเวลาไหน
เพราะชาแดงนั้นมีหลายประเภทมีทั้งแบบมีคาเฟอีนและแบบไม่มีคาเฟอีน สามารถเลือกดื่มได้ตามความเหมาะสม แต่แนะนำให้ดื่มก่อนก่อนอาหารเพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
7. ชาซีลอน (Ceylon Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาซีลอน
เป็นชาดำที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศศรีลังกา เป็นการนำมาคั่วจนมีสีเข้ม ทำให้มีกลิ่นรสหอมวานเฉพาะตัวแตกต่างจากชาดำ
ประโยชน์ของชาซีลอน
ชาซีลอนสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเมทาบอลิซึมทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญได้เร็วขึ้น และทำให้สมองตื่นตัว
ควรดื่มเวลาไหน
แนะนำให้ดื่มช่วงเช้าหรือบ่าย และควรหลีกเลี่ยงช่วงเย็นหรือก่อนนอน เพราะชาซีลอนเป็นชาที่มีคาเฟอีนถึง 30-60 มิลลิกรัมหากเป็นถ้วยขนาด 240มล. จึงไม่แนะนำให้ดื่มหลังบ่ายเป็นต้นไป
8. ชาสมุนไพร (Herbal Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาสมุนไพร
แท้ที่จริงแล้วชาสมุนไพรนั้นเป็นชาที่ทำมาจากดอกไม้ และผลไม้ตากแห้ง แต่ที่เราเรียกกันว่าชาเพราะเป็นวิธีการชงซึ่งจะให้รสชาติและกลิ่นรสแตกต่างกันไปตามส่วนผสม ตัวอย่างชาสมุนไพรก็จะเป็น เก๊กฮวย ขมิ้น มะตูมเป็นต้น
ประโยชน์ของชาสมุนไพร
ถือว่าประโยชน์แทบครอบจักรวาลเพราะเนื่องจากมีหลากหลายชนิด แต่ก็ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนชาอื่นๆ เช่นช่วยย่อยอาหาร ต้านการอักเสบเป็นต้น
ควรดื่มเวลาไหน
เพราะส่วนใหญ่ชาสมุนไพรเป็นชาไม่มีคาเฟอีนจึงดื่มได้ทุกช่วงเวลาเพราะไม่มีคาเฟอีนแต่แนะนำให้ทานก่อนนอนเพื่อผ่อนคลาย
9. ชาผู่เอ๋อร์ (Puer Tea)
ลักษณะและรสชาติของชาผู่เอ๋อ
ชาผู่เอ๋อร์มีทั้งแบบดิบและแบบสุก ถ้าเป็นแบบชาดิบจะเป็นการทิ้งใบชาให้เกิดการหมักตามธรรมชาติ
แต่หากเป็นชาสุกที่ผ่านเทคนิคพิเศษจะยิ่งเพิ่มความหอมหวานที่แตกต่างกันออกไป ให้รสหวานคล้ายดอกไม้หอม ไม่ฝาดและขมน้อย
ประโยชน์ของชาผู่เอ๋อ
ชาผู่เอ๋อร์เป็นอีกชาที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงทำให้มีประสิทธิภาพช่วยในการชะลอความแก่ ทั้งยังลดการเกิดมะเร็งได้อีกด้วย
ควรดื่มเวลาไหน
ชาผู่เอ๋อร์หากเป็นชาสุกสามารถดื่มได้ตลอดเวลา แต่หากเป็นชาดิบจะไม่แนะนำให้ดื่มหลังช่วงเย็นหากเป็นคนที่ไวต่อคาเฟอีน
เพราะการดื่มชาถือไม่ใช่แค่เพียงการเพลิดเพลินไปกับรสชาติแต่ยังได้ประโยชน์ที่ทำให้ร่างกายเหมือนได้ยาชั้นดี และแน่นอนว่า Gaysorn Village เป็นสถานที่ที่รวบรวมร้านชาชื่อดังไว้อย่างมากมาย ผ่านการคัดเลือกชามาอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจในทุกขั้นตอนพร้อมพาให้คุณดื่มด่ำและได้ Refresh ร่างกายอย่างเต็มที่
วิธีการแบ่งประเภทของชา ในแบบอื่น ๆ
นอกจากนี้ชายังเป็นเครื่องดื่มที่มีความหลากหลายในแง่ของแหล่งเพาะปลูก ลักษณะ และวิธีการผลิต ซึ่งจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ มาดูกันว่าการแบ่งประเภทของชานั้นมีอะไรอีกบ้าง
แบ่งตามแหล่งการเพาะปลูก
ชาแต่ละประเภทจะมีความต้องการของสภาพภูมิอากาศ ความชื้น รวมไปถึงดินที่แตกต่างกัน โดยหลักๆแล้วสามารถแบ่งได้ตามประเทศที่เพราะปลูก เช่น ชาจีน, ชาเขมร และชาไต้หวันเป็นต้น รวมไปถึงเทคนิคในการเก็บใบชา และด้วยสาเหตุนี่จึงทำให้มีผลต่อรสชาติและคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป
แบ่งตามลักษณะของชา
ด้วยชาแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างดัวยสายพันธุ์และพื้นที่การเพาะปลูก จึงมีผลให้ลักษณะของใบชานั้นแตกต่างกัน โดยจะแบ่งเป็น 3 สายพันธุ์หลักๆนั้นก็คือ
- ชาอัสสัมที่แบ่งตามใบ เช่นใบเข้ม ใบจางเป็นต้น
- ชาจีนจะมีลักษณะเป็นทรงพุ่มเตี้ย ใบสีเข้มและยาว หรืออาจมีใบขนาดเล็กขึ้นอยู่กับพื้นที่การเพาะปลูก
- ชาเขมร จะมีลักษณะใบยาว หรืออาจมีใบหยักแบบฟันเลื่อย
แบ่งตามกรรมวิธีในการผลิต
วิธีการผลิตของชาหลักๆจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 วิธี ตั้งแต่ไม่ผ่านการบ่ม, มีการบ่มเป็นระยะเวลาหนึ่ง และบ่มอย่างสมบูรณ์จนเกิดการออกซิเดชัน โดยแต่ละวิธีการผลิตนี้ส่งผลให้เราได้สีของชาออกมาแตกต่างกันไปตามวิธีในการผลิต
ในการแบ่งลักษณะของชานี้จะช่วยให้เราสามารถเข้าใจได้ถึงความหลากหลายของที่มา สายพันธุ์และแหล่งพื้นที่เหมาะสมในการเพาะปลูกที่มีผลต่อรสชาติ และทำให้เราสามารถเลือกชาที่ชอบเพื่อดื่มด่ำกับเสน่ห์ความหอมหวานได้อย่างลงตัว
ข้อควรระวังในการดื่มชา
จริงอยู่ที่การดื่มชานั้นสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย หรือแม้แต่ช่วยในการยับยั้งการเกิดโรคได้ แต่อย่าลืมว่าหากบริโภคมาเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ด้วยเช่นกัน มาดูกันว่าเราควรระวังในเรื่องใดกันบ้าง
- ปริมาณในการดื่มชา หากบริโภคมาเกิดนไปอาจเกิดนิ่วในไตได้ เนื่องจากชามีสารออกซาเลต (Oxalate) ที่มักพบในพืชใบเขียว ที่ทำให้ร่างกายไม่ดูดซึมแคลเซียมอาจทำให้ตกค้างและเกิดนิ่วที่ไตได้
- การดื่มชาพร้อมอาหารอาจทำให้ส่งผลให้มีอาการท้องอืด ดังนั้นเด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรบริโภคชาในปริมาณมากหรือไม่ควรเลือกชาที่มีคาเฟอีนสูง
- จริงอยู่ที่ชาเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ช่วยยับยั้งสารที่ก่อให้เกิดมะเร็งแต่ “ไม่ได้ยับยั้งการเกิดมะเร็ง” เพราะหากบริโภคมากเกินไปอาจส่งผลต่อระบบลำไส้หรือส่งผลต่อโรคอื่นๆได้อีกด้วย
การดื่มชานั้นควรเลือกเวลาให้เหมาะสม และอย่าลืมเช็คร่างกายของเราว่าสามารถรับคาเฟอีนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะร่างกายของเราแต่ละคนนั้นมีความไวต่อคาเฟอีนไม่เหมือนกันอาจส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจก็เป็นได้
มาถึงตรงนี้แล้วหวังว่าทุกคนคงได้ความรู้และอาจกระตุ้นให้อยากลิ้มลองได้ไม่ได้น้อย หากใครที่กำลังมองหาร้านชาที่มีดีทั้งบรรยากาศ เดินทางสะดวกใจกลางเมือง สามารถแวะเวียนมาที่ Gaysorn Village กันได้ เพราะนอกจากจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งใจกลางกรุงเทพมหานครแล้วยังเป็นอีกห้างที่มีร้านชาขึ้นชื่อไม่ว่าจะเป็นร้านชา 1823 TEA LOUNGE BY RONNEFELDT, KARUN THAI TEA, KAMU KAMU TEA, BANHO TEA HOUSE และอื่น ๆ ที่พร้อมจะพาให้ทุกท่านผ่อนคลายไปกับบรรยากาศและความหอมหวานที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละร้านให้ความเพลิดเพลินในขณะดื่มด่ำกับชารสเลิศได้เป็นอย่างดี