พาดื่มด่ำไปกับกาแฟแต่ละเมนู พร้อมวิธีการชงในแบบต่าง ๆ

#Mingle


“กาแฟ” ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มสำหรับชาวออฟฟิศแต่ยังเป็นอีก 1 ศิลปะของการลิ้มลอง ด้วยตัวกลิ่นหอมอบอวลอันเป็นเอกลักษณ์และวิธีการชงอันพิถีพิถัน ทำให้การดื่มกาแฟได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งไทยและต่างประเทศ ถึงขั้นมีการประกวดเมล็ดพันธุ์และบาริสต้า (ผู้ชงกาแฟ)  แต่ใครจะรู้ว่าการที่จะได้กาแฟในแต่ละรสชาติที่เราชอบนั้นมาจากเมล็ดพันธุ์ชนิด? สายพันธุ์อะไร? หรือกาแฟแต่ละเมนูมีอะไรบ้าง? วันนี้ Gaysorn vilage ขอพาคุณเพลิดเพลินไปกับศิลปะของกาแฟแต่ละชนิดอย่างลึกซึ้ง


ขึ้นชื่อว่า “กาแฟ” สิ่งแรกที่เรานึกถึงคงเป็น “กลิ่น” และ “รสชาติ” แต่รู้หรือไม่ว่า 2 สิ่งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งขององค์ประกอบที่ถูกยกมาพูดถึงให้เข้าใจอย่างง่าย 

แต่หากให้พูดถึงอย่างลึกซึ้งหนึ่งบทความคงไม่มีวันจบจึงขอหยิบยกสายพันธุ์มาเป็นเกณฑ์แบ่งให้เข้าใจกันอย่างง่ายฉะนั้นเราขอรวบรัดตัดตอนพาทำความรู้จักกับกาแฟทั้ง 4 สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมบริโภคมากที่สุด

มัทฉะหรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า 抹茶 (มัจจะ) ต้นกำเนิดแท้ที่จริงแล้วมาจากประเทศจีน โดยชาวจีนในสมัยสายพันธุ์อราบิก้าถือเป็นสายพันธุ์แรกที่เป็นต้นกำเนิดของกาแฟโดยมีต้นกำเนิดมาจากเมืองอาบีซีเนีย (Abyssinia) และเมืองอาราเบีย (Arabia) หรือหนึ่งในเมืองของประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน แต่อีกความเป็นมาบางก็ว่าถูกค้นพบในประเทศเอธิโอเปีย (Ethiopia) 

โดยพื้นที่ที่เหมาะกับการเพาะปลูกสายพันธุ์อราบิก้ามักเป็นประเทศที่มีอุณหภูมิ 15-24 องศาเซลเซียส ซึ่งได้แก่บราซิล โคลัมเบีย และในไทยนิยมเพาะปลูกที่เชียงใหม่

จุดเด่นของสายพันธุ์อราบิก้าคือเรื่องรสชาติที่นุ่มนวล ทั้งมีกลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายกับกลิ่นช็อกโกแลต และมีความหอมอ่อนๆคล้ายดอกไม้ เนื่องสายพันธุ์อราบิก้ามีความเป็นกรดและน้ำตาลสูง จึงเหมาะกับมือใหม่ที่อยากลิ้มลองเพราะมีรสชาติที่กลมกล่อมดื่มง่ายไม่ซับซ้อนจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

สายพันธุ์โรบัสต้าเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมรองลงมาจากสายพันธุ์อราบิก้าซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศแอฟริกา ครอบคลุมพื้นทั้งทางเหนือและทางใต้ของทวีปแอฟริการวมถึงราบลุ่มแถบแม่น้ำคองโกและถูกนำไปเพาะปลูกอย่างแพร่หลายในประเทศที่มีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้น 

โดยปัจจุบันประเทศที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกมักเป็นประเทศที่มีพื้นที่ต่ำ และมีอากาศชื้นจึงพบว่านิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในประเทศบราซิล เวียดนาม โคลัมเบีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และประเทศไทยที่นิยมปลูกในจังหวัดแถบภาคใต้

จุดเด่นของสายพันธุ์โรบัสต้าคือรสชาติที่หนักแน่น เข้มข้นถึงใจ หากเป็นเมล็ดสดจะมีกลิ่นคล้ายดินคนจึงมักนำสายพันธุ์โรบัสต้ามาทำเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรืออีกความนิยมคือนำมาคั่วเข้มซึ่งจะให้รสชาติของกาแฟที่ขมฝาดถูกใจคอกาแฟ

สายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่าถูกค้นพบที่ประเทศแถบแอฟริกา ในช่วงยุคสมัยใหม่หรือต้นศตวรรษที่ 20 ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่าอราบิก้า และโรบัสต้าแต่ก็ยังคงเป็นอีกสายพันธุ์ที่ถูกพูดถึง เนื่องด้วยความโดดเด่นในด้านการเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย 

ปัจจุบันสายพันธุ์เอ็กซ์เซลซ่านิยมปลูกในประเทศแถบเอเชียที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น หรือหากแห้งแล้งก็สามารถปลูกได้เพราะเนื่องด้วยสายพันธุ์นี้มีความทนต่อสภาพอากาศได้ดี

หากพูดถึงจุดเด่นของเอ็กซ์เซลซ่าต้องยกให้กลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้สุกผสมกับดิน และมีความนุ่มละมุนติดขม จึงนิยมคั่วกลางเพื่อให้สามารถดึงกลิ่นเบอรี่และรสผลไม้ ส่วนใหญมักจะนำเอ็กซ์เซลซ่าไปเบลน (Blend) ร่วมกับกาแฟอื่นเพื่อเพิ่มให้มีมิติของรสชาติมากยิ่งขึ้น

สายพันธุ์ลิเบอริก้ามีต้นกำเนิดมาจากประเทศไลบีเรียซึ่งเป็นประเทศในแถบแอฟริกากลางถูกค้นพบในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และภายหลังได้ถูกนำไปปลูกในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น

ปัจจุบันลิเบอริก้านิยมปลูกในประเทศฟิลิปปินส์ และ มาเลเซีย ซึ่งมีภูมิประเทศที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโต เนื่องจากลิเบอริก้าต้องการอุณหภูมิร้อนชื้นและความสูงไม่มากเกินไป 

ลิเบอริก้าขึ้นชื่อเรื่องความเข้มจึงเป็นอีกจุดเด่นหลักทั้งยังมีความหอมของไม้และดินบางๆ พร้อมรสเปรี้ยวน้อยและขมอ่อนๆ ความเข้มของรสชาติจะขึ้นอยู่กับการคั่ว โดยมักจะมีรสชาติที่ไม่เหมือนกาแฟสายพันธุ์อื่นๆ และมีกลิ่นที่ค่อนข้างชัดเจน มักถูกนำไปผสมในกาแฟเบลนด์เพื่อเพิ่มมิติของรสชาติและกลิ่นหอมที่เฉพาะตัว


แน่นอนว่าแต่ละสายพันธุ์นอกจากกลิ่นอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยังมีปริมาณคาเฟอีนที่แตกต่างกันอีกด้วย ทุกคนลองเดาดูไหมว่าจาก 4 สายพันธุ์ที่ยกมาแนะนำสายพันธุ์ไหนมีคาเฟอีนสูงสุด…

คำตอบคือ “โรบัสต้า” นั้นเอง เพราะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 2-4.5 เปอร์เซ็นต์ และมีรสชาติที่ไม่ติดเปรี้ยว ทั้งยังมี Body แน่น, มีระดับน้ำตาลและความเป็นกรดต่ำจึงถูกนิยมนำมาผลิตในรูปแบบของกาแฟสำเร็จรูปเอาใจชาวออฟฟิศที่ต้องการเติมคาเฟอีนเป็นอย่างมาก


  • กระตุ้นสมองให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น: เพราะร่างกายรับคาเฟอีนเข้าไปเพื่อเปลี่ยนระดับสารสื่อประสาทบางชนิดในสมองที่มีส่วนช่วยกระตุ้นพลังงาน และลดความเหนื่อยล้า
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด: เนื่องด้วยมีงานวิจัยยืนยันว่าการดื่มกาแฟดำ (Black) สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้สูงถึง 21%
  • สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย: หากได้รับคาเฟอีนในระดับที่พอเหมาะ 3-6 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว เพราะกาแฟมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เพิ่มสมรรถนะในการออกกำลังกาย
  • ช่วยบำรุงสมองป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน: เพราะคาเฟอีนมีส่วนกระตุ้นความสามารถในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
  • ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน: เพราะกาแฟมีส่วนช่วยรักษาการทำงานของเซลล์ตับ ที่มีหน้าที่ผลิตอินซูลินในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมันได้มากถึง 10%:  ในคนที่มีน้ำหนักมากกว่าเกณฑ์และสำหรับคนที่มีน้ำหนักตามเกณฑ์สามารถเผาผลาญได้สูงถึง 29%
  • ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด: เช่นมะเร็งตับ มะเร็งเต้านม เพราะในกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด

ด้วยเหตุผลเชิงการแพทย์เหล่านี้คงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนใหญ่ที่คนนิยมดื่มกาแฟ แต่อีก 1 เหตุผลที่คงหนีไม่พ้นเรื่องของรสชาติที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความหอมกลมกล่อมและความชื่นชอบส่วนตัวที่ดึงดูดให้เราหลงใหลไปกับกาแฟได้ไม่ยาก

เมื่อเราได้เลือกเมล็ดพันธุ์ที่ชื่นชอบกันไปแล้วมาถึงเกล็ดเล็กน้อยกันบ้างว่าในกาแฟแต่ละเมนูที่หลายคนชอบดื่มนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง เพื่อเป็นอีกตัวเลือกในการเลือกลิ้มลอง !

แบล็กหรือที่เราเรียกกันแบบไทยๆ ว่ากาแฟดำ เป็นกาแฟที่ไม่มีน้ำตาลหรือนม โดยทั่วไปจะนิยมนำมาดริป (Drip) เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นถึงความเป็นกาแฟ 

สำหรับเอสเพรสโซแตกต่างจาก Black ตรงที่กรรมวิธีในการสกัดด้วยการใช้แรงดันน้ำเดือดผ่านตัวเมล็ดให้มีรสชาติที่ข้มข้น โดยนิยมใช้อัตราส่วน 1 oz

ลาเต้หรือกาแฟใส่นมที่มีอีกชื่อเรียกในภาษาอิตาลีว่า “caffè latte” ที่แปลว่ากาแฟนม ด้วยการใส่นมในอัตราส่วน 3:1 ใช้ Espresso shot 1 ส่วน และนม 2 ส่วน

กาเลาเป็นเมนูกาแฟสไตล์โปรตุเกสที่มีความคล้ายกับลาเต้ แต่มีการเพิ่มอัดราส่วนของฟองนมมากกว่าลาเต้คือ 1:3 จึงให้รสชาติของกาแฟที่เบาบางกว่ามักเสิร์ฟในแก้วทรงสูง

คาปูชิโน่เป็นการใช้เทคนิคเพิ่มเติมจากการเติมนมด้วยการใช้ฟองนม หรือโฟมนมเป็นส่วนประกอบในการชงด้วยอัตราส่วน 1:1:1 นั้นก็คือ Espresso 1 Short ผสมกับนม 1 ส่วน และฟองนมอีก 1 ส่วน

อเมริกาโน่เป็นอีก 1 เมนูที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นเมนูที่มีความเข้มลดลงมาจาก Espresso Short ด้วยการเติมน้ำเพื่อลดความเข้มข้นของกาแฟ

โดปิโอ หรือ กาแฟเอสเพรสโซเบิ้ลช็อต จากปกติ 1 ช็อตเป็น 2 ช็อต จึงทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นถึงใจสำหรับคอกาแฟที่ต้องการความตื่นตัว

สำหรับคอกาแฟสายฮาร์ดคอร์ ต้องลองเมนูนี้ เพราะเป็นการผสมกันระหว่างของเอสเพรสโซ่ 1 ช็อตกับกาแฟดริป เพื่อเพิ่มความเข้มข้นที่มากกว่า Doppio ได้ความเข้มข้นถึงใจแบบเต็มแม็ก

Cortado หรือ คอร์ตาโด เมนูเครื่องดื่มที่มีต้นกำเนิดจากประเทศสเปน ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคนที่อยากรับประทานกาแฟอย่างเอสเพรสโซ แต่ไม่อยากได้รสที่เข้มข้นจนเกินไป โดยกาแฟคอร์ตาโดมีส่วนผสมของเอสเพรสโซและนมอุ่นในอัตราส่วนที่เท่ากัน เพื่อเบลนเรสชาติมีทั้งความเข้มข้น และละมุน

ลุงโก้ในภาษาอิตาลีแปลว่า “ยาว” ที่มาจากกรรมวิธีการชงด้วยการลากช็อตให้ยาวขึ้น และต่อเนื่องมากขึ้นเพื่อให้น้ำกาแฟไหลนานมากขึ้น ทำให้เกิด “ครีม่า” ที่ช่วยเพิ่มสัมผัสที่เนียนนุ่ม ผสมกับความเข้มข้นของกาแฟดำ

มัคคิอาโต้ในภาษาอิตาลีแปลว่ากาแฟที่เปื้อนหรือการแต้มสร้างความแตกต่าง จึงหมายถึงการเติมนมเพียงเล็กน้อยลงในเอสเพรสโซ่ ในอัตราส่วน 1:1 

จริงๆ แล้วเมนูมอคค่านั้น มาจากเมล็ดกาแฟสายพันธ์ุอาราบิก้าที่ถูกขนส่งมาจากเมืองท่า “โมคา” ประเทศเยเมน โดยเมล็ดกาแฟมอคค่าให้รส และกลิ่นช็อกโกแลต โดยตัวเมนู เกิดจากผสมช็อตเอสเพรสโซ่ เข้ากับช็อกโกแลต, นมร้อน, และตบท้ายด้วยวิปครีมหรือฟองนมเพิ่มความกลมกล่อมได้เป็นอย่างดี

ริสเทรตโต้เป็นกาแฟที่ใช้ช็อตเอสเพรสโซ่ที่สั้นกว่าประมาณ 25-30 วินาที และใช้แรงดันสูงในการสกัดทำให้มีความเข้มข้นจัดเต็มยิ่งกว่าเอสเพรสโซช็อต

แฟลตไวท์เป็นกาแฟที่มีส่วนผสมของไมโครโฟมซึ่งเป็นโฟมนมที่ผ่านการสตรีมอย่างนุ่มไม่ให้เกิดฟอง ทำให้ได้รสชาติและสัมผัสที่นุ่มนวล โดย แฟลตไวท์ มักเสิร์ฟในถ้วยขนาดเล็ก

อัลโฟกาโต้เป็นกาแฟเอสเพรสโซใส่ไอศกรีมด้วยการราดกาแฟลงบนไอศกรีมวานิลลาถือเป็นอีกเมนูที่ถูกใจสายหวาน

คาเฟ่โอเล่ต์เป็นกาแฟดำที่ผสมในอัตราส่วนเท่าๆกันกับนมหรืออาจใช้ฟองนมเล็กน้อย มักเสิร์ฟคู่กับคุกกี้หรือบิสกิตให้รสชาติกลมกล่อมดื่มง่าย

ไอริชเป็นเมนูสุดว้าวที่ไม่คิดว่าจะเข้ากันเพราะเป็นการผสมผสานระหว่างวิสกี้ กาแฟ และเติมน้ำตาลหรือครีมด้านบน ให้รสชาติเข้มข้นทั้งยังให้สัมผัสที่โดดเด่นจากความหอมของแอลกอฮอล์


นอกจากนี้ยังมีกาแฟเมนูอื่นๆอีกมากมายที่ได้รับความนิยมทั้งยังมีเมนูใหม่ๆเกิดขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายเช่น คอนพันนา หรือเฟรดโดที่แตกต่างกันด้วยอัตราส่วนของกาแฟที่เป็นส่วนผสม ประกอบกับการสกัดด้วยอุณหภูมิที่ส่งผลให้รสชาติของกาแฟมีความเข้มอ่อนไม่เท่ากัน แต่หากต้องการสัมผัสบรรยากาศ พร้อมลิ้มลองการแฟที่หลากหลาย Gaysorn Village ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่พาให้คุณเพลิดเพลินกับรสชาติของกาแฟได้อย่างแท้จริง


แน่นอนว่าอากาศประเทศไทยทำให้ใครหลายๆคนเสพติดการดื่มกาแฟแบบเย็น ทั้งแบบปั่นและแบบเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มอรรถรสในการดื่มที่แตกต่างกันไปตามความชอบ มาดูกันว่ากาแฟเย็นในแต่ละเมนู ใส่อะไรหรือมีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง ? 

ไอซ์คอฟฟี่ตรงตัวเลยนั้นก็คือเมนูกาแฟดำหรือเอสเพรสโซเข้ากับนมร้อน หรือเติมน้ำตามด้วยน้ำแข็ง ให้รสชาติที่เข้มข้น สดชื่น ส่วนใหญ่นิยมดื่มแบบไม่เติมน้ำตาล

เอสเพรสโซ่เย็นหรือเอสเย็นที่เราเรียกกันเป็นการผสมระหว่างเอสเพรสโซช็อตกับนมข้นหวานหรือนมจืด และเติมน้ำแข็งให้ความหวานกลมกล่อมชื่นใจแบบไทยๆ

ไนโตรหรือกาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) ผ่านการอัดก๊าซไนโตรเจนเพิ่มความหนาแน่นให้ทำให้กาแฟมีฟองเนียนละเอียดคล้ายกับเบียร์ และยังคงสดใหม่อยู่เสมอ

แฟรบปูชิโน่เป็นกาแฟปั่นที่ผสมด้วยเอสเพรสโซ นม น้ำแข็ง และน้ำเชื่อมเช่นคาราเมลหรือช็อกโกแลต ปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวและปิดท้ายด้วยวิปครีมด้านบนให้รสชาติหอม หวานมัน เอาใจสายติดหวาน

มาซากรานเป็นกาแฟเย็นสไตล์โปรตุเกสที่มีส่วนผสมของเอสเพรสโซเติมด้วยน้ำแข็งและน้ำมะนาวลงไป ให้รสชาติเปรี้ยวสดชื่น ตัดกับความเข้มของกาแฟ เหมาะกับอากาศร้อนอย่างไทยเรา

เสน่ห์ของกาแฟไม่เพียงแต่แตกต่างกันไปตามส่วนผสมแต่ยังแตกต่างไปด้วยรสชาติและเนื้อสัมผัส เสริมด้วยความเย็นเอาใจสายเข้มแต่ยังต้องการความสดชื่นจากความเย็น สามารถเติมเต็มพลังงานให้พร้อมลุยทุกงานได้อย่างเต็มที่ !


และหาพูดถึงวิธีการชงกาแฟในแบบต่างๆจะไม่พูดถึง 7 วิธียอดฮิตที่หยิบยกมาให้คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละวิธีมีเทคนิคที่แตกต่างกันไป ในเรื่องของการดึงรสชาติและกลิ่นหอมของกาแฟ เพิ่มประสบการณ์ในการดื่มได้เป็นอย่างดี

การชงกาแฟแบบสกัดเย็นมักใช้กาแฟที่บดหยาบแช่ในน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องโดยใช้เวลา 12-24 ชั่วโมง ให้ได้รสชาติที่นุ่มละมุน และกรองกาแฟออกเสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งเพิ่มความสดชื่น

เป็นวิธีนิยมที่ใช้กันอย่างทั่วไปตามบ้านสามารถทำตามได้อย่างง่ายด้วยการใช้อุปกรณ์ในการบดเมล็ดกาแฟและเติมน้ำร้อน รอเพียง 4 นาทีและกดตัวกรองเพื่อแยกกากกับกาแฟออก ให้รสชาติเข้มข้นเต็มตา

เพอร์โคเลเตอร์เป็นการชงกาแฟแบบน้ำร้อนไหลเวียนผ่านผงกาแฟในน้ำเดือดด้วยแรงดันสูง มักใช้หม้อต้ม Percolator มักนิยมใช้กับเตาถ่าน เตาแก๊ส หรือเตาต้มไฟฟ้า ให้รสชาติเข้มข้นคล้ายกับเครื่องเอสเพรสโซ

เอโร่เพรสเป็นการใช้อุปกรณ์ที่ทำให้เกิดสุญญากาศให้มีแรงดันในการกัดเพื่อสกัดกาแฟอย่างรวดเร็ว โดยจะต้องใช้ผงกาแฟที่ผ่านการบดอย่างละเอียดให้รสชาติเข็มเต็มบอร์ดี้กว่าการชงผ่านกระดาษ

การดริปเป็นการชงกาแฟด้วยการให้น้ำร้อนหยดผ่านผงกาแฟ และใช้ผงกาแฟที่มีความหยาบปานกลางใส่ลงในกระดาษกรองค่อยๆเทน้ำ เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม

พัวร์โอเวอร์เป็นอีก 1 วิธีการดริปกาแฟผ่านการใช้ตัวฟิลเตอร์กาแฟด้วยการเทน้ำร้อนและวนช้าๆลงบนผงกาแฟผ่านตัวกรอง ให้รสชาตินุ่มนวลมีกลิ่นหอมที่ชัดเจน

โมก้าเป็นการชงโดยการใช้หม้อต้มที่มีชื่อว่า Moka ตรงตัวกับวิธีการชงเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศอิตาลี ให้รสเข้มข้นคล้ายเอสเพรสโซ ด้วยการใช้กาแฟบดละเอียด มักเสิร์ฟพร้อมกับนมหรือผสมนม


เสน่ห์ของกาแฟไม่เพียงแต่แสดงถึงความพิถีพิถันในการชงแต่ยังมีความพิเศษเฉพาะตัว ให้รสชาติที่หลากหลายตอบโจทย์คอกาแฟทุกกลุ่ม ช่วยเปิดประสบการณ์ในการดื่มด่ำกับความหอมกลมกล่อมได้อย่างมากยิ่งขึ้น


และหากใครที่เป็นคอกาแฟต้องไม่พลาดกับร้านกาแฟชื่อดังที่มาพร้อมกับบรรยากาศที่เหมาะกับการนั่งจิบกาแฟหรือแม้แต่ต้องการเติมคาเฟอีนในช่วงเวลาเร่งรีบ สามารถแวะมาเติมคาเฟอีนกันได้ที่ Gaysorn Village ห้างสรรพสินค้าระดับพรีเมียมใจกลางกรุงฯ ที่เป็นมากกว่าสถานที่ผ่อนคลาย ทั้งยังรวบรวมไว้ด้วยร้านกาแฟชื่อดังอย่าง The Coffee Academïcs, BOYY & SON CAFÉ, BLUE CHÉRI COFFEE และอื่น ๆ พร้อมให้บริการทุกวัน ทั้งยังเดินทางง่ายใจกลางกรุงเทพฯติด BTS ชิดลม



Subscribe for Gaysorn News & Promotion

This field is for validation purposes and should be left unchanged.
ค้นหาทั้งหมด