ไขข้อสงสัยเรื่องชา มัทฉะ กับ ชาเขียว ต่างกันอย่างไร

#Mingle


เคยสงสัยไหมว่าชาเขียวกับมัทฉะแตกต่างกันอย่างไร เพราะเวลาเราออเดอร์เครื่องดื่มมักมีหลายที่ที่แยกสองเมนูนี้ออกจากกัน หรือแม้แต่บางทีใจเราอยากได้มัทฉะเข้มข้นใส่นมแต่กลับได้ชาเขียวใส่นมซะอย่างนั้น แล้วสองสิ่งนี้ไม่ใช่ชาประเภทเดียวกันหรอกหรือ? วันนี้ Gaysorn Village จะพาทุกคนไปไขข้อสงสัยไปพร้อมกัน


ชาเขียวและมัทฉะถือเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตอันดับต้นๆในประเทศญี่ปุ่น และมีความลับของวิถีชีวิตที่ถูกซ่อนไว้ในการเรื่องราวอันน่าหลงใหลในรสชาติ ผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรามาดูกันว่าชาทั้ง 2 ชนิดนี้มีความเป็นมา และมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง

มัทฉะหรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกกันว่า 抹茶 (มัจจะ) ต้นกำเนิดแท้ที่จริงแล้วมาจากประเทศจีน โดยชาวจีนในสมัยนั้นมีกรรมวิธีในการแปรรูปด้วยการนำใบชามานึ่งและปั้นเป็นก้อนเพื่อนำไปขายกระจายทั่วทุกพื้นที่ ต่อมาได้มีการนำก้อนชามาบดให้เป็นผงและผสมกับน้ำร้อน หลังจากนั้นเมื่อมีพระชาวญี่ปุ่นได้เดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาจึงได้นำชาเขียวกลับทั้งยังมีการใช้ครกหินในการบดอย่างประณีตเพื่อให้เกิดความร้อนต่อชาน้อยที่สุดและทำให้เราได้ประโยชน์จากใบชาแบบเต็มๆ มีรสชาติหอมอ่อนๆ ดื่มง่ายและสดชื่น

แล้วแท้ที่จริงแล้วมัทฉะคืออะไร ? มัทฉะคือชาเขียวที่ถูกนำมาบดทั้งใบโดยไม่แยกกากออกให้เป็นผงละเอียด โดยมัทฉะจะเน้นความพิถีพิถันตั้งแต่การปลูก การเลือกใบชาที่จะเก็บเฉพาะส่วนของยอดอ่อน หรือใบอ่อนที่อยู่บนสุดของต้นชา การเก็บเกี่ยวด้วยวิธีเฉพาะ รวมไปถึงการเก็บรักษาจะต้องเก็บรักษาในภาชนะปิดสนิทไม่มีแสง และต้องเก็บในอุณหภูมิเย็น

ในปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีการเก็บเกี่ยวรวมถึงการเก็บรักษาให้สอดคล้องกับกาลเวลามากยิ่งขึ้น แต่ยังถึงรักษาถึงความพิถีพิถันตามแบบฉบับดั้งเดิม

หลักๆแล้วเราสามารถแบ่งประเภทของมัทฉะได้เป็น 2 ประเภทหลักๆด้วยกันนั้นก็คือ Ceremonial Grade Matcha (มัทฉะพิธีการ) และ Cooking grade หรือ Culinary Grade (มัทฉะสำหรับทำอาหาร) ซึ่งเป็นการแบ่งตามเกรดของการเก็บเกี่ยว มาดูกันว่าแต่ละประเภทมีความแตกต่างอย่างไรกันบ้าง

  1. Ceremonial Grade Matcha (มัทฉะพิธีการ)

    มัทฉะคุณภาพสูงที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ผลิตจากใบชาที่เก็บเกี่ยวในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ใบชามีความอ่อนนุ่ม สีเขียวเข้มกว่าใบชาชนิดอื่น เนื่องจากการปลูกด้วยการใช้เสื่อไม้ไผ่คลุมป้องกันแสงแดด ทำให้สีใบชามีความเข้มขึ้นถึง 3 เท่า
  2. Culinary Grade Matcha (มัทฉะสำหรับทำอาหาร)

    มัทฉะที่เหมาะสำหรับใช้ในขนม ไอศกรีม และเครื่องดื่ม ใบชามีความแก่กว่า ทำให้รสชาติเข้มข้น สีออกเขียวเข้มปนเหลือง มีรสขมฝาดและราคาย่อมเยากว่า Ceremonial Grade Matcha แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Catechins) และ L-Theanine น้อยกว่า

เพราะมัทฉะเป็นการใช้ชาที่นำมาบดอย่างละเอียดจึงทำให้ได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ คาเฟอีน และธีอะนีนที่มีผลต่อสุขภาพอย่างมากมาย ทั้งยังพบว่าสามารถช่วยควบคุมเรื่องน้ำหนักเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญได้ดี และมีทั้งวิตามินซี วิตามินอี แคโรทีน และโทโคฟีนอลอีกด้วย

หากพูดถึงเมนูมัทฉะทั้งเครื่องดื่มและขนมหวานต้องยกให้ “Kyo Roll En” สุดยอดร้านมัทฉะขึ้นชื่ออย่าง Uji Matcha ส่งตรงจาก Kyoto ที่มาพร้อมกับเมนูพิเศษต้อนรับเทศกาลรับลมหนาว Exclusive สำหรับชาว Gaysorn Villager เท่านั้น !

เชิญทุกคนมาสัมผัสรสชาติมัทฉะแท้ได้แล้ววันนี้ที่ Kyo Roll En

📍 Kyo Roll En, 3rd Floor, Gaysorn Tower, Gaysorn Village

Kyo Roll En, 3rd Floor, Gaysorn Tower, Gaysorn Village

ชาเขียว หรือ Green Tea เป็นเครื่องดื่มที่มีต้นกำเนิดเริ่มแรกมาจากประเทศจีนและต่อมาได้มีการแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆแถบเอเชีย ซึ่งมีประวัติอย่างยาวนานมากกว่า 4,000 ปี ย้อนกลับไปเมื่อตอน 2737 ก่อนปีคริสตกาลในประเทศจีนซึ่งถูกค้นพบโดยจักรพรรดิ “เสินหนง” (Shénnóng, 神農) ซึ่งเป็นหนึ่งในบัณฑิตที่เป็นนักวิชาการสมุนไพรในสมัยนั้นตามประวัติกล่าวว่า จักรพรรดิเสินหลงนั้นเป็นผู้รักความสะอาดอย่างมากจึงต้องมีการต้มน้ำก่อนดื่ม ในวันหนึ่งขณะที่กำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่าและกำลังต้มน้ำดื่มอยู่นั้นได้เกิดลมพัดทำให้ตัวใบชาร่วงลงในน้ำเดือดที่กำลังต้มอยู่ เมื่อได้ลองดื่มปรากฏว่าน้ำดื่มนั้นมีรสชาติพิเศษทั้งให้ความรู้สึกสดชื่นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาเขียวจึงนิยมนำใสใช้ในการดื่มรวมไปถึงรักษาโรค และถูกแพร่ขยายไปยังประเทศญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 9 

โดยชาเขียวเริ่มได้รับการพัฒนาในรูปแบบต่างๆ ที่แตกต่างกันไปตามกระบวนการการแปรรูปซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งต้นกำเนิดของมัทฉะนั้นเอง

หลังจากที่เราได้รู้ถึงประวัติความเป็นมาแล้ว วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับประเภทของชาเขียวที่ได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายที่ได้รับความนิยมและวิธีการเก็บเกี่ยวรวมไปถึงลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่แตกต่างกันว่ามีอะไรบ้าง โดยหลัก ๆ ที่ได้รับความนิยมจะมีด้วยกันทั้งหมด 4ประเภทนั้นก็คือ 

  1. เซนฉะ (Sencha, 煎茶) เป็นชาเขียวยอดฮิตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นโดยจะถูกนำไปอบด้วยไอน้ำเพื่อหยุดกระบวนการหมัก ให้มีรสชาติหวานอ่อนๆให้สดชื่นและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มักนำมาดื่มในช่วงเช้าและช่วงบ่ายของวัน
  2. มัทฉะ (Matcha, 抹茶) เป็นชาเขียวที่ถูกนำไปบดจนเป็นผงละเอียดโดยมัทฉะจะใช้ใบชาที่มีคุณภาพสูงที่เรียกว่า “ชะคุระ (Tencha, 点茶)” และถูกปลูกในร่มทำให้ใบชามีความละเอียดและรสชาติที่เข้มข้นจากใบชาอย่างแท้จริง
  3. โฮจิฉะ (Hōjicha, ほうじ茶) เป็นใบชาที่ถูกนำไปคั่วให้ร้อนทำชาที่ได้มีสีน้ำตาลแดงคล้ายชาจีนและมีความใส ทั้งยังมีรสชาติอ่อนๆให้ความรู้สึกนุ่มนวลไม่ขม และมีความหวานเล็กน้อย
  4. เกนไมฉะ (Genmaicha, 玄米茶) เป็นชาแบบพิเศษที่นำไปคั่วผสมกับข้าวคั่ว (Genmai, 玄米) เพื่อให้ได้รสชาติที่พิเศษ ทำให้ตัวชามีรสชาติของข้าวคั่วผสมอยู่ และมีความหอมหวานกลมกล่อม ทั้งยังมีสีเหลืองอ่อน

จากวิธีการผลิตและกระบวนการแปรรูปทำให้ชาเขียวแต่ละชนิดมีประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไปแต่ยังคงให้ประโยชน์ในเรื่องของการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วยคาเฟอีน ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจหากบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายของเรา

เกริ่นมาขนาดนี้แล้วหากทุกคนอยากลิ้มลองรสชาติชาเขียวแท้พลาดไม่ได้เลยกับเมนู “Organic Jasmine Green Tea” ชาเขียวออร์แกนิกคุณภาพดีนำเข้าใบชาจากประเทศไต้หวัน ที่ได้รับรองจาก ICAPS และ ACFS ได้กลิ่นหอมมะลิของชาเบา ๆ ดีต่อสุขภาพ เพิ่มท้อปปิ้งด้วยอโรเวร่าว่านหางจระเข้

มาลิ้มลองได้แล้ววันนี้ที่ร้าน Banhō Tea House
B Floor, Gaysorn Tower

Banhō Tea House

แล้วสรุปว่ามัทฉะกับชาเขียวแตกต่างกันอย่างไร หากสรุปโดยย่อความแตกต่างนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 4 ข้อด้วยกัน ตั้งแต่กระบวนการผลิต, วิธีการเตรียม ไปจนถึงวิธีการชง ที่ส่งผลต่อกลิ่น และคุณภาพ

  1. การเพาะปลูก

    ชาเขียว: นิยมปลูกในประเทศจีน บนพื้นที่โล่งแจ้งที่มีแสงแดดส่อง

    มัทฉะ: บางชนิดปลูกโดยใช้เสื่อไผ่คลุม เพื่อป้องกันแสงแดดโดยตรง

  2. กระบวนการผลิตหรือการแปรรูป

    ชาเขียว: ผลิตด้วยการอบไอน้ำหรือคั่ว เพื่อหยุดกระบวนการหมักอย่างรวดเร็ว

    มัทฉะ: ชาเขียวที่ถูกบดเป็นผงละเอียด โดยใช้ยอดอ่อนของใบชาและบดด้วยหินเพื่อให้เนื้อเนียนละเอียด

  3. วิธีการชง

    ชาเขียว: ชงด้วยการแช่ในน้ำร้อน เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้น

    มัทฉะ: ใส่น้ำและตีให้ขึ้นฟองด้วยไม้ไผ่หรือที่ตีชา (Chasen, 茶筅) เพื่อให้เนื้อเนียนละเอียด

  4. กลิ่นที่แตกต่างกัน

    ชาเขียว: มีกลิ่นหอมที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่กลิ่นหญ้าไปจนถึงกลิ่นข้าวคั่ว

    มัทฉะ: มัทฉะคุณภาพสูงจะมีกลิ่นหอมละมุน ให้ความรู้สึกสดชื่น

  5. เสน่ห์เฉพาะตัว

    ทั้งชาเขียวและมัทฉะต่างมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบและความหลงใหลของแต่ละบุคคล จึงไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองแบบได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

หากให้เลือกเลยคงยากใช่หรือไม่ งั้นลองเลือกง่าย ๆ จากกลิ่นที่เราชื่นชอบ รวมไปถึงปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมกับร่างกายของคุณ หากชอบความขมเล็กน้อยลองเริ่มต้นด้วยชาเขียวเซนฉะที่มีความอ่อนนุ่มละมุน หรือหากชอบรสชาติที่เข้มข้นขึ้นมาอีก 1 ระดับ ลองเป็นชาเขียวมัทฉะดี ๆ สักอัน

เพราะไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือมัทฉะก็ให้ประโยชน์และรสชาติที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไปคนละแบบช่วยเติมเต็มระหว่างวันให้สมองมีแรงทำงานได้เป็นอย่างดี

เป็นอย่างไรกันบ้างหวังว่าทุกคนคงเลือกชาที่ชอบกันได้แล้ว ทั้งอาจทำให้อยากลองดื่มด่ำกับรสชาติและบรรยากาศไปพร้อมกัน แน่นอนว่า Gaysorn Village เป็นอีกแหล่งพื้นที่ที่รวบรวมร้านชาชื่อดังอย่างร้านชา 1823 TEA LOUNGE BY RONNEFELDT, KYO ROLL EN, KAMU KAMU TEA, BANHO TEA HOUSE และอื่น ๆ สามารถมาลิ้มลองกันได้แล้ววันนี้พร้อมสัมผัสความอร่อยและสุขภาพดีไปพร้อมกันได้เลย !


Subscribe for Gaysorn News & Promotion

This field is for validation purposes and should be left unchanged.
ค้นหาทั้งหมด